เรื่องลึกลับทางการแพทย์ : พิมพวดี กับ นายแพทย์ อาจินต์ บุณยเกตุ และ การคาดเดาหนูพิมพวดีในชาตินี้
หมอเฉพาะทางบาทเดียว หมอเฉพาะทางบาทเดียว
282K subscribers
168,284 views
7.8K

 Published On Dec 4, 2023

เรื่องลึกลับทางการแพทย์ : พิมพวดี กับ นายแพทย์ อาจินต์ บุญยเกตุ
เรื่องนี้นำมาจาก “หนังสือที่ระลึก 40 ปี นายแพทย์อาจินต์ บุณยเกตุ พบวิญญาณหนูพิมพวดี ณ ร.พ.ศิริราช”

ตอนที่ 1
ถึงแม้ข้าพเจ้าเรียนมาทางสายวิทย์ แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่คิดว่าวิทยาศาสตร์ยังเป็นสิ่งที่หยาบเกินกว่าจะสัมผัสเรื่องละเอียดลึกซึ้งบางเรื่องได้ ได้อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่น่าจะไขว่คว้าไปมากกว่าการได้ทำบุญกุศลความดี โดยเฉพาะการทำวิปัสสนา เพราะเหล่านี้เป็นสิ่งเดียวที่เราจะนำไปได้ในชีวิตหลังความตาย ขอให้พ่อได้ไปสู่สุคติและได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดี…

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ได้เกิดกับตัวผม ไม่ว่าจะพูดที่ไหนกี่สิบกี่ร้อยครั้งก็อย่างนี้ ผมเริ่มเรื่องว่า
ผมได้ป่วยด้วยโรคปวดประสาทสมองเส้นที่ห้า (ประสาทสมองมี 12 คู่) ทางด้านขวา เริ่มเป็นมาตั้งแต่วัยรุ่น อายุราวๆ 16-17 ปี ตอนนั้นพอดีเกิดสงครามอินโดจีน และก็เป็นเรื่อยมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นๆ หายๆ โดยมีอาการปวดประสาทด้านขวา ตั้งแต่เบ้าตาขึ้นไปถึงกลางกระหม่อม ปวดอยู่ซีกเดียว
ตอนนั้นยังเป็นหนุ่มแน่น อายุยังน้อย อาการก็ไม่รุนแรงทรมานมากนัก กินยาแก้ปวดแรงๆหน่อยก็บรรเทาไปได้ ได้ขอให้อาจารย์ที่ศิริราชตรวจ ท่านก็บอกว่าสายตามีส่วนช่วยให้ปวดประสาทได้ เพราะสายตาไม่ดี ผมก็เลยสวมแว่นตามาตั้งแต่อายุยี่สิบปีจนบัดนี้
สรุปว่าผมป่วยด้วยโรคนี้มานานเป็นสิบๆ ปี ตอนที่เป็นนายแพทย์ผู้อำนวยการที่ จ.ภูเก็ตก็เป็น ตอนที่ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา 3 ปี ก็เป็นทั้ง 3 ปี แพทย์ที่อเมริกาชวนผ่าตัด ผมก็ยอม พอจะผ่าตัดมันก็เกิดหาย ปวดเพราะมันเป็นๆ หายๆ หมอที่นั่นเลยไม่กล้าผ่า ผมเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ อยู่ฝ่ายวิชาการ เกิดปวดมากอีกหนทนไม่ไหว ต้องเข้ารับการรักษาที่ศิริราชตอนนี้เอง
โรคนี้ไม่รู้สาเหตุ แต่เดี๋ยวนี้ “คุณหมอสิระ บุณยรัตเวช” หัวหน้าศัลยกรรม โรงพยาบาลรามาธิบดี ผู้เชี่ยวชาญทางศัลยกรรมสมองและประสาท ( ท่านผู้นี้เองที่รักษาผมหายขาด ด้วยการฉีดน้ำยาเข้าไปในสมอง ไปทำลายต้นตอของประสาทเส้นนี้ให้หมดสภาพไปเลย) ท่านบอกว่าหนึ่งในสาเหตุของโรคนี้ก็คือ เส้นโลหิตในสมองเส้นหนึ่งไปเบียดเส้นประสาทสมองเส้นที่ห้านี้
เมื่อเส้นโลหิตขยายตัวตามจังหวะการเต้นของหัวใจ มันก็จะเบียดกระตุ้นเส้นประสาทนี้ทุกที หนักๆเข้าก็ระบม ปวดอย่างนี้คนโบราณเรียกว่า ” ลมตะกัง” หมอปัจจุบันเรียกไมเกรน หรือ ติ้ค เดอลารู หรือ ไทรเจมินัล นิวราลเจีย ซึ่งมันก็ชื่อเดียวกัน การรักษายากมาก
ตอนปีพ.ศ.2505 นั้น คุณหมอสิระยังไม่กลับจากการศึกษาต่อจากอังกฤษ ท่านเรียนจนสำเร็จเป็นราชบัณฑิตในวิชาศัลยศาสตร์แห่งประเทศอังกฤษ ท่านกลับมา พ.ศ.2507 หรือราวๆนั้น ท่าน “ศ.นพ.อุดม โปษกฤษณะ” เป็นผู้รักษาผม “ศ.นพ.วิชัย บำรุงผล” แห่งภาควิชาศัลยกรรม และ “ศ.นพ.สมบัติ สุคนธพันธ์” ฝ่ายโรคทางยา มาร่วมด้วย ทั้งสองท่านหลังนี้เป็นเพื่อนกัน ก็เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษ แต่มันไม่หาย
ผมได้ถูกรับตัวไว้เพื่อตรวจละเอียดและรักษาที่ “ตึกวิบุลลักสม์” ชั้นล่าง ห้องที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว ได้รับการดูแลเยียวยารักษาอย่างดีจากครูบาอาจารย์และเพื่อนฝูง แต่อาการปวดประสาทก็รุนแรงมาก แทบจะผูกคอตายไปหลายหน คืนหนึ่งราวๆสองทุ่มเศษๆ โรคปวดประสาทมาเอาผมอีก ทีนี้ปวดดิ้นเลย พยาบาลให้กินยาฉีดยาตามแพทย์สั่งไว้ก็ไม่สงบ
เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมก็นอนหลับตาเอามือกุมขมับข้างที่ปวด แล้วภาวนาบริกรรม “พุทโธๆๆ” ทำอาณาปานสติไปเรื่อยๆ ที่ผมทำแบบนี้ได้ก็เพราะเมื่อปี พ.ศ.2500 ผมบวชพระที่ “วัดราชาธิวาส” 1 พรรษา วัดนี้เป็นวัดวิปัสสนากรรมฐาน ผมก็ได้รับการอบรมเรื่องนี้มาด้วย พอทำสมาธิวิปัสสนาสักครู่ อาการปวดก็สงบลง มันก็เป็นเช่นนี้ คือปวดสักพักแล้วก็บรรเทา พอสงบ ผมก็เลยสงบจิตทำสมาธิต่อ
ประมาณ 3 ทุ่มเศษๆ ผมมองเห็นอะไรรางๆ ก็ลืมตาขึ้นมาพลางถามภรรยาและพยาบาลพิเศษที่เฝ้าอยู่ 2 คนนี้ว่า ” ใครมา…” ได้รับคำตอบว่า ” ดึกแล้ว ไม่มีใครมาหรอก…” ผมก็หลับตาเข้าสมาธิต่อ พอสักครู่ก็เห็นชัด ขนาดลืมตามองก็เห็นชัด ว่ามีเด็กผู้หญิงผู้หนึ่งรูปร่างอ้วนเหลือกำลัง อ้วนอย่างกับเป็นโรคชนิดหนึ่ง แต่หน้าตายังเด็ก มายืนอยู่ข้างเตียง เธอแต่งตัวด้วยชุดของโรงพยาบาล เมื่อเห็นเช่นนี้ผมก็เอ่ยปากออกถามว่า
” หนูเป็นใคร มาทำไมที่นี่ ” ผมพูดออกมาดังๆเพื่อให้สองคนนั้นได้ยิน รวมทั้งคุณใบ กล้าหาญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์จนทุกวันนี้ และไปเฝ้าผมอยู่ด้วย
ภรรยาจึงมาเขย่าแขนและพูดว่า… ” เธอๆ นี่ อยู่นี่ๆๆ ” ก็คงนึกว่าผมปวดมากจนเพ้อ
ผมก็บอกว่า “ไม่ได้เพ้อหรือเสียสติอะไรหรอก แต่มีใครเห็นไหม หนูอ้วนมานั่งอยู่ข้างเตียงนี่ ”
สองคนนั้นตอบว่า ” ไม่มีใครแล้ว ดึกแล้ว…”
ผมสังเกตว่าสองคนนั้นเขยิบเข้ามาชิดๆกัน ภรรยาผมก็ทำท่าจะสวดมนต์ เห็นพนมมือไหว้พระปะหลกๆ แต่ผมก็ยังข้องใจ เพราะหนูคนนั้นก็ยังนั่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ผมก็เลยพูดออกมาดังๆกับภรรยาและพยาบาลในห้องว่า “จะคุยกับหนูคนนี้นะ ช่วยจดๆจำๆไว้ด้วย…” แล้วผมก็ถามด้วยเสียงออกจะดังๆว่า “หนูเป็นใคร มาทำไมในห้องนี้ ”
แม่หนูตอบว่า…” หนูเคยมาป่วยในห้องนี้และตายในห้องนี้ เมื่อประมาณ 2 ปีมาแล้ว…” ภรรยาผมคอยฟังและคอยจด
” อ้อ หนูเคยมาป่วยที่ห้องนี้ แล้วตายที่ห้องนี้… หนูป่วยเป็นอะไรตาย “

” ป่วยด้วยโรคอ้วนตายค่ะ ” ภรรยาและพยาบาลช่วยกันจดใหญ่

” หนูเป็นลูกใครหลานใครจ๊ะ “

” คุณตาหนูเป็นพระยาค่ะ ชื่อของท่านขึ้นต้นด้วย ” อ ” ลงท้ายด้วย ” สิริ ” “

ผมทวนคำพูดของเธอดังๆ ให้ได้ยินทุกคน

” งั้นหนูก็เป็นหลาน…” ผมพยายามนึก สักครู่ก็นึกออก แล้วพูดออกมาว่า ” หลานเจ้าคุณอัชราชทรงสิริ ใช่ไหมล่ะ “

หนูคนนั้นก็ตอบว่า ” ใช่ค่ะ คุณอาเก่งมาก… “

show more

Share/Embed