คัมภีร์✨ อุปปาตะสันติ มหาสันติงหลวง✨มนต์เพื่อชีวิต✨มนต์บันดาล✨มนต์นิพพาน✨
5,906 views
125

 Published On Oct 19, 2020

🌞✨พระคาถาอุปปาตะสันติ เป็นร้อยกรองในรูปฉันทลักษณ์ภาษาบาลีขนาดยาวจำนวน 271 คาถา เป็นบทสวดสรรเสริญ🙏🏻🙏🏻🙏🏻พระพุทธคุณ ✨พระธรรมคุณ ✨พระสังฆคุณ ✨โดยระบุนามของพระพุทธเจ้าทั้งในอดีต✨ ปัจจุบัน ✨และอนาคต ✨รวมถึงพระอรหันต์ทั้งหลาย ✨พระคาถานี้แพร่หลายในอาณาจักรล้านนาแต่โบราณ และได้แพร่หลายในพม่ามาช้านาน กระทั่งได้รับการเผยแพร่สู่แผ่นดินไทย และเป็นนิยมสวดกันอย่างแพร่หลาย นอกจากชื่อพระคาถาอุปปาตะสันติแล้ว ทางล้านนายังเรียกว่า มหาสันติงหลวง อีกด้วย✨✨✨

พระธรรมคุณาภรณ์ ผู้ชำระคัมภีร์พระคาถานี้เป็นภาษาบาลีอักษรไทยเมื่อปี พ.ศ. 2500 กล่าวถึงอานิสงส์ของการสวดสาธยายพระคาถาอุปปาตะสันติ ไว้ว่าจะช่วยเทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข ดังที่กล่าวถึงในคัมภีร์อุปปาตะสันติ ที่สำคัญ 3 ประการคือ

สันติหรือมหาสันติ ความสงบความราบรื่นความเยือกเย็นความไม่มีคลื่น
โสตถิ ความสวัสดีความปลอดภัยความเป็นอยู่เรียบร้อยหรือตู้นิรภัย
อาโรคยะ ความไม่มีสิ่งเป็นเชื้อโรคความไม่มีโรคหรือความมีสุขภาพสมบูรณ์
คัมภีร์อุปปาตะสันติมีข้อความขอความช่วยเหลือ โดยขอให้พระรัตนตรัยและบุคคลพร้อมทั้งสิ่งทรงอิทธิพลในจักรวาลรวม ๑๓ ประเภท ดังที่กล่าวมาแล้ว ช่วยสร้างสันติหรือมหาสันติ ช่วยสร้างโสตถิ และอาโรคยะ ช่วยปรุงแต่งสันติและอาโรคยะ ขอให้ช่วยรวมสันติ รวมโสตถิและรวมอาโรคยะ และขอให้ช่วยเป็นเกราะคุ้มครอง และกำจัดเหตุร้ายอันตรายหรือสิ่งกระทบกระเทือนต่างๆ อย่าให้เกิดมีในตน ในครอบครัว ในหมู่คณะ หรือในวงงานของตน และในวงงานของคนอื่นทั่วไป ซึ่งอานิสงส์การสวดและการฟังอุปปาตะสันติ ดังที่ปรากฏในท้ายคัมภีร์ ยังมีดังต่อไปนี้อีกว่า

ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ ย่อมชนะเหตุร้ายทั้งปวงได้ และมีวุฒิภาวะคือ ความเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ
ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติย่อมได้ประโยชน์ที่ตนต้องการ คือผู้ประสงค์ความปลอดภัยย่อมได้ความปลอดภัย คนอยากสบายย่อมได้ความสุข คนอยากมีอายุยืนย่อมได้อายุยืน คนอยากมีลูกย่อมได้ลูกสมประสงค์ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติ ย่อมไม่มีโรคลมเป็นต้นมาเบียดเบียน ไม่มีอกาละมรณะคือตายก่อนอายุขัย ทุนนิมิตรคือลางร้ายต่างๆมลายหายไป ผู้สวดหรือผู้ฟังอุปปาตะสันติเมื่อเข้าสนามรบย่อมชนะข้าศึกและแคล้วคลาดจากอาวุธทั้งปวง
นอกจากนี้ ยังมีการระบุถึง เดช ของการสวดสาธยายพระคาถาอุปปาตะสันติเป็นประจำไว้ว่า

อุปปาตะคือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน อันเกิดจากแผ่นดินไหวเป็นต้น ย่อมพินาศไป (ปะถะพะยาปาทิสัญชาตา)
อุปปาตะ คือ คือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน อันเกิดจากลูกไฟที่ตกจากอากาศหรือสะเก็ดดาว ย่อมพินาศไป (อุปปาตะจันตะลิกขะชา)
อุปปาตะ คือ คือเหตุร้ายหรือสิ่งกระทบกระเทือน อันเกิดจากการเกิดจันทรุปราคาหรือสุริยุปราคา เป็นต้น ย่อมพินาศไป (อินทาทิชะนิตุปปาตา)[10
🔮✨ จุดประสงค์ของการสวดสาธยายพระคาถาอุปปาตะสันติมีอยู่หลากหลาย ตามข้อมูลของพระธรรมคุณาภรณ์ (เช้า ฐิตปัญโญ ป.ธ.9) ระบุว่าสมัยที่ท่านพระมหามังคละสีลวังสะแต่งอุปปาตะสันตินั้น ที่เชียงใหม่มีโจรผู้ร้ายและคนอันธพาลชุกชุมผิดปกติ มีเหตุร้ายและสิ่งกระทบกระเทือนอยู่เสมอ พระมหาเถระสีละวังสะจึงให้พระสงฆ์สามเณร และประชาชนพากันสวดและฟังอุปปาตะสันติ เพื่อสงบเหตุร้ายทั้งมวลที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง[11]

ขณะที่ข้อมูลของพระคันธสาราภิวงศ์ ระบุว่า ในปี พ.ศ. 1949 เมื่อกองทัพจีนยกพลมารุกรานเมืองเชียงใหม่ในรัชสมัยของพระเจ้าสามฝั่งแกน พระสีลวังสมหาเถระผู้เป็นพระอรหันต์ได้แต่งคัมภีร์อุปปาตสันติ มีจารึกอยู่ในพงศาวดารพม่าว่า พระเจ้าสามฝั่งแกนโปรดเกล้าฯ ให้สร้างมณฑปเล็กใหญ่ในทิศเฉียงทั้ง 3 ทิศ คือทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีความหมายเป็นอายุ ทิศตะวันออกเฉียงใต้มีความหมายเป็นเตชะ และทิศตะวันตกเฉียงใต้มีความหมายเป็นสิริ มีการประดิษฐานพระพุทธปฏิมาในท่ามกลางมณฑปใหญ่ และมีรูปหล่อของพระอินทร์อยู่หน้าพระพุทธรูป มีรูปหล่อของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ในมณฑปเล็ก 4 แห่ง พระสงฆ์ได้สาธยายรัตนสูตร เมตตสูตร อาฏานาฏิยสูตร และอุปปาตสันติ โดยเริ่มตั้งแต่สถานที่ซึ่งสมมุติทิศว่าเป็นอายุ เมื่อสาธยายพระปริตรและอุปปาตสันติเช่นนี้ภายในเวลาสองสามวัน ภัยพิบัติอันใหญ่หลวงได้เกิดขึ้นในกองทัพจีน ทำให้กองทัพระส่ำระสายและถอยทัพไปในที่สุด[12]

พระธัมมานันทมหาเถระอดีตเจ้าอาวาสวัดท่ามะโอ ยังกล่าวถึงการใช้พระคาถานี้ในประเทศพม่าว่า ในรัชสมัยของพระเจ้าตาลวนที่เสด็จเถลิงราชสมบัติในปี พ.ศ. 2173 และรัชสมัยของพระเจ้าวัมแบอินสัน ได้เกิดกบฏในพระราชวัง มีการสู้รบระหว่างกบฏกับทหาร ฝ่ายกบฏปราชัยถูกฆ่าตาย ต่อมาผีของพวกกบฏได้อาละวาด โดยแสดงรูปร่างให้เห็น ดึงผ้าห่มของคนที่นอนหลับอยู่ ดึงปิ่นผมของนางสนม บางคราวก็หัวเราะ แล้วขว้างปาดอกไม้หรือผลไม้เข้าไปในพระราชวัง บางทีก็หลอกหลอนให้ตกใจ ทำให้คนในพระราชวังเดือดร้อน บางคนจับไข้ไม่สบาย คราวนั้นพระธัมมนันทะ (ชาวพม่าเรียกว่า งะยะแนนัตแสกยองสะยาด่อ) ได้ทำพิธีสาธยายมนต์พระปริตรเพื่อระงับเหตุร้ายเหล่านั้นในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2217 พงศาวดารพม่ากล่าวว่าคัมภีร์อุปปาตสันติก็ได้รับการสาธยายร่วมกับพระปริตรอื่น ๆ ในครั้งนั้น และจากการสาธยายมนต์พระปริตรนี้ ผีร้ายที่หลอกหลอนอยู่ในพระราชวังก็สาบสูญไปหมด ชาววังต่างได้รับความสุขถ้วนหน้าแต่นั้นมา[13]

ครั้นต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแผ่นดินระหว่างรัชสมัยของพระเจ้าภะจีด่อกับพระเจ้าตายาวดี ใน พ.ศ. 2380 ได้เกิดความไม่สงบขึ้นภายในประเทศ พระอาจารย์พุธ (ชาวพม่าเรียกว่า ยองกันสะยาด่อ) แปลอุปปาตสันติให้พระสงฆ์กับชาวเมืองร่วมกันสาธยาย ความไม่สงบภายในประเทศก็อันตรธานไป และต่อมาใน พ.ศ. 2452 พระอาจารย์แลดีสะยาด่อ วัดอ่องลังไตยอดเขาไจ้ตันลัน ณ จังหวัดเมาะลำเลิง ท่านได้ปรึกษากับพระอาจารย์ยะตะนาโภงมยิน แล้วแต่งคัมภีร์โรคันตรทีปนี เป็นแนวทางการสาธยายเพื่อระงับอหิวาตกโรคที่ระบาดอยู่ในขณะนั้น ท่านระบุว่าการสาธยายมหาสมัยสูตรและอุปปาตสันติ จะอำนวยผลให้พ้นจากอุปสรรคอันตรายทุกอย่างได้[14]✨❤️‍🔥

show more

Share/Embed